เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันนี้วันพระ วันพระ เห็นไหม ทำไมถึงมีวันพระล่ะ? มีวันพระเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาถึงเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงเป็นพระ พระผู้ประเสริฐ เป็นพระผู้ประเสริฐ เห็นไหม เวลาตรัสรู้ มาตรัสรู้อะไร? ตรัสรู้ธรรม เวลาตรัสรู้ธรรมแล้วนี่ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ เวลาเทศน์ธรรมจักร อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ นี่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัยครบ
วันพระ วันเจ้า วันพระถ้าเป็นชาวพุทธมันเห็นคุณค่าของใจไง ถ้าวันพระ พระคือผู้ประเสริฐ ประเสริฐที่ไหน? คนเรากาลเวลามันเปลี่ยนแปลงคนได้นะ คนนี่มีความดีมาก มีจุดยืนมาก แต่ถึงเวลาเขาโดนวิกฤติเขาเปลี่ยนความคิดของเขาไปเลย เห็นไหม คนมาดีๆ นี่แหละ มันเสียไปได้อย่างไร? คนตั้งใจดีๆ มานี่มันเสียคน แล้วคนเวลามันทุกข์จนเข็ญใจ คนเวลาปรารถนาดีเลย แต่เวลาไปเจออะไรช็อตหัวใจขึ้นมา มันตั้งใจทำของมันได้นะ
ถ้าคนดีๆ มา แล้วมันถึงเวลาแล้วทำไมมันเปลี่ยนแปลงไป นี่เพราะอะไร? เพราะพระในใจมันไม่แน่นอนไง พระในใจมันไม่มีจุดยืน ถ้ามีจุดยืนของมันนะ เหตุการณ์อย่างไรก็แล้วแต่มันเห็นคุณค่า อย่างพวกเรานี่ถ้าเห็นคุณค่าของชีวิตนะ สิ่งที่เรามองไปสิ มองเด็กๆ มองการแสวงหาทางโลก
การแสวงหาทางโลกมันก็เป็นหน้าที่อันหนึ่ง เราปฏิเสธไม่ได้หรอก แต่แสวงหาจนไม่มีเวล่ำเวลา แสวงหาจนเราเป็นทาสของมันนะ เราไปแบกรับมัน มันทุกข์มากเลย แต่คนเราเกิดมานี่เรารู้ ทำแล้วได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ เราสบายใจนะ เราทำของเรานะ ได้ก็ได้เท่านี้แหละ เพราะเราสร้างมาเท่านี้ไง ดูสิเรามีเงินมีทองนะ เราไปในร้านอาหาร เราไปซื้ออาหาร ถ้าอาหารหมดเรายังซื้อไม่ได้เลย เงินก็มีอยู่นะแต่ของเขาหมด
นี่ก็เหมือนกัน ในชีวิตอำนาจวาสนาเราก็มีเท่านี้ ถ้าทำดีแล้วมันประสบความสำเร็จ นั่นก็คือความพอใจ ถ้ามันมีความไม่ประสบความสำเร็จ มีความขาดแคลนบ้าง อันนั้นก็เป็นธรรมดา มันเป็นธรรมดาแต่เราก็ทำนะ ไม่ใช่ธรรมดาแล้วขาดแคลนแล้วเราจะไม่ทำ มันต้องทำไง เพราะไม่ทำมันยิ่งจะเลวร้ายกว่านี้ มันทุกข์ยากยิ่งกว่านี้ไง
ในการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้ามันขาดแคลนสิ่งใด? มันขาดแคลน การเสียสละนี่มันขาดแคลนไหม การเสียสละเป็นการได้มา นี่ถ้าเราสละออกไป เราไม่ตามใจมันไป เราไม่ตามใจเรานะ เราตามใจเรา ตามใจเราคือตามใจกิเลส กิเลสมันไม่เคยพอหรอก มันต้องแสวงหาของมันตลอดไป เห็นไหม แต่ถ้าการเสียสละ ถือศีลนี่คือความปกติของใจ เราปฏิเสธไง เราไม่เอา สิ่งที่มีเราก็ไม่เอา มักน้อยสันโดษ
ความมักน้อยนี่สันโดษ มันมีเท่าไหร่ก็เท่านั้น ในความสันโดษเราได้มาแล้วเรายังมักน้อย ดูสิดูพระบิณฑบาตมา ครูบาอาจารย์ของเรานะได้สิ่งใดมาที่จะเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้ากิเลสมันชอบกินจับเขวี้ยงเข้าป่าเลยนะ กินอะไรหรือฉันอะไรที่มันไม่อยากได้ มันไม่อยากเป็น นี่ถ้ามันอยากไป อยากแสวงหา เราดึงไว้ เราตั้งสติไว้ เราขืนมันไว้ การขืนไว้นั่นล่ะ ฝึกอย่างนี้จิตมันจะเข้มแข็งขึ้นมา
แต่ถ้าเราไปตามใจมัน เห็นไหม ปล่อยไปตามความรู้สึก นั่นก็มีความจำเป็น นี่ก็มีความจำเป็น ความจำเป็นอันนั้นมันจะไม่มีวันจบหรอก แล้วเราก็จะวิ่งตามมันไปตลอด แต่ถ้าเราฝืนมัน เราขัดแย้งมัน เราฝืนมันไว้นะ สิ่งใดพอเป็นพอไป เอาเท่านี้พอ เอาเท่านี้พอ เห็นไหม ถ้าเอาเท่านี้พอขึ้นมา นี่มันขัดแย้งกับใจ ขัดแย้งกับกิเลส เพราะกิเลสมันอยู่ที่เรา
นี่เขาบอกความอยากๆ ความอยากมันอยู่ที่พลังงานนะ ความอยากมันอยู่ที่ตัวชีวิตนี้นะ ถ้าชีวิตนี้มันยังมีชีวิตอยู่ มันมีความอยากโดยธรรมชาติของมัน ถ้าความอยากอันนี้เราแปรมัน เราแปรในทางบวก ในทางทำคุณงามความดี แปลไปในทางที่ว่าเอาเท่านี้พอ เอาเท่านี้ เท่านั้น เราขืนมัน ความขืนมัน มันฝึกอย่างนี้มันจะมีจุดยืนของมัน พอมีจุดยืนของมัน เห็นไหม เราฝืนด้วย แล้วถ้าเกิดมีปัญญาขึ้นมานะมันก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
ถ้าเราแสวงหา ดูสิ ดูอย่างของใช้ไม้สอยเราในบ้านมันจะทับตายนะ ซื้อทุกวัน แล้วมันได้ใช้จริงหรือเปล่า? มันไม่ได้ใช้จริงหรอก มันซื้อมาสะสมไว้ๆ นั่นก็จำเป็น นี่ก็จำเป็น แล้วมันจำเป็นจริงไหมล่ะ? มันจำเป็นเวลาชั่วคราว ของบางอย่างปีหนึ่งใช้หนเดียว ถ้าปีหนึ่งใช้หนเดียว เราเก็บไว้ตั้ง ๓๐๐ กว่าวัน แล้วใช้หนเดียวๆ อันนั้นเราก็แสวงหามา มันเป็นทางโลก มันมีความจำเป็นใช้ มันก็ต้องจำเป็นใช้ แต่ถ้าในหัวใจนะ สมาธิ ถ้ามันมีสติ มันมีความเป็นไปของมัน นี่มันประเสริฐที่นี่
นี่ว่าคนดี พระดี ถ้าพระดี ถ้าในหัวใจมันดีนะ คนดีก็ดีจริงๆ นะ ถ้ามันดีจริงๆ ขึ้นมา ความตกทุกข์ได้ยากขึ้นมาอย่างหนึ่ง แต่ถ้ามันคนดีจอมปลอม เห็นไหม หน้าฉากเป็นคนดี สร้างภาพว่าเป็นคนดี แต่ความจริงมันล้วงตับนะ มันเอาเปรียบเขาตลอดไป ความเป็นไปในใจ เราเก็บไว้ในใจว่าไม่มีใครรู้นะ นี่กรรมเป็นการแสดงออก เครื่องแสดงออก เจตนาเป็นเครื่องแสดงออกของกรรม การกระทำมันแสดงออกถึงความรู้สึก ถ้าทำสิ่งนั้นบ่อยครั้งเข้า ถ้ามีความผิดพลาดบ้างมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้ามันทำบ่อยครั้งเข้าเพราะจะเอาเปรียบเขาตลอดไป เขารู้ทันทั้งนั้นแหละ
สิ่งที่ความรู้ทัน เห็นไหม ปัญญานี่ศึกษาทันกันได้ ศึกษาทันกันได้นะ ดูการศึกษานี่ทันกันได้ แต่การประพฤติปฏิบัติมันจะทันกันไหม? ถ้าทันกันแล้วนี่ธรรมะไม่มีการขัดแย้งกัน ธรรมะจะเป็นเหมือนกัน มีครูบาอาจารย์บางสาย อย่างเช่นสายหลวงปู่ฝั้นท่านจะเสียสละ ได้อะไรมาจะเสียสละกันๆ ตลอดไป เสียสละจนเป็นเรื่องปกตินะ เป็นเรื่องปกติเราเจือจานกันไง ถ้าความเจือจานกัน สังคมที่ประพฤติปฏิบัติมันให้โอกาสต่อกันนะ แต่ถ้าเราแสวงหาของเรา เพื่อเราๆ ถ้าเป็นเพื่อเรา เห็นไหม
นกที่มันบอกกูๆ ของกู อะไรก็ของกูๆ แต่มันไม่มีหรอก มันไม่เป็นของมันซักอย่างหนึ่ง มันเป็นชั่วคราว ถ้ามันมาเห็นผลไม้ที่สุกมันจะได้กินของมัน แต่ถ้ามันไม่มีผลไม้สุกมันก็ไม่ได้กินหรอก จะเป็นของมันหรือไม่เป็นของมัน มันเป็นความเข้าใจ เป็นความยึดมั่นถือมั่น แต่มันไม่เป็นความจริง แม้แต่เงิน แม้แต่สมบัติที่เป็นของเรายังไม่ใช่ของเราเลย เพราะมันต้องพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา
สิ่งที่พลัดพรากจากกันเป็นธรรมดานะ ร่างกายนี้ ชีวิตนี้เป็นของเราชั่วคราว ชั่วคราวตั้งแต่เกิดมา เห็นไหม ปฏิสนธิในครรภ์ของมารดานะ นี่ชีวิตมันเกิดแล้ว เกิดมาอยู่ในครรภ์ ๙ เดือน คลอดออกมาแล้วเป็นคนขึ้นมา นี่เวลามันตายไปมันต้องแยกจากกัน
ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด
เวลาตายไปจิตแยกออกจากกันเป็นธรรมดา ร่างกายทิ้งไว้กับโลกนี้ เขาต้องจัดการไปตามประเพณีของเขา จิตใจมันมีเวรมีกรรมของมันไป มันไปตามเวรกรรมของมัน เห็นไหม เวรกรรมของมันนะ แล้วเราชำระล้างตรงนี้ไง การประพฤติปฏิบัติคือการล้างเวรล้างกรรม ถ้าการล้างเวรล้างกรรมนะมันล้างที่ใจ ถ้าล้างถึงที่สุดของมัน ใจนี้สะอาดบริสุทธิ์ ถ้าใจนี้สะอาดบริสุทธิ์ การกระทำมันถึงทำยาก ทำยากเพราะอะไร? ทำยากเพราะมันฝืนความรู้สึก
ความรู้สึกเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา ความปรารถนาเป็นเรา นี่แล้วความปรารถนาเป็นเรา เวลาประพฤติปฏิบัติด้วยความปรารถนา เพราะความปรารถนาเป็นผลไง ความปรารถนามันเป็นผล ความปรารถนาถ้าเราแปลเป็นความถูกต้องนะมันเป็นมรรค เป็นมรรคคือความปรารถนาในการประพฤติปฏิบัติ ความปรารถนาในการขัดแย้งกับใจ ในการขัดแย้ง ในการโต้แย้ง ในการต่อสู้ ถ้ามีการต่อสู้ เห็นไหม มรรคญาณมันเกิดอย่างนี้นะ ถ้าเราต่อสู้บ่อยครั้งเข้าจนมันเข้มแข็งขึ้นมา มันมีกำลัง พอมีกำลังขึ้นมา ความคิดเรามันจะมีอำนาจเหนือเราไม่ได้เลย สติปัญญาจะเหนือความคิดอันนี้
นี่ปัญญาในพุทธศาสนา ปัญญาคือความรอบรู้ในกองสังขาร สังขารร่างกายก็ได้ สังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่ง ในขันธ์ ๕ ก็ได้ นี่ปัญญารอบรู้ในความคิด ถ้าความคิดเกิดขึ้นมา ปัญญามันรอบรู้ทันมันจะไปตื่นเต้นอะไรกับมัน เห็นไหม นี่สิ่งที่เกิดดับๆ ความปรารถนานี้เกิดดับตลอดไป สิ่งที่แสวงหาก็แสวงหาตลอดไป เราเสพมันไปเท่านั้นแหละ นี่ชั่วคราว การดำรงชีวิตมันก็ไปใช้เพื่อการดำรงชีวิต
แต่ถ้าเราทำของเรานะ การดำรงชีวิต ถ้าชีวิตมันเป็นอิสรภาพของมัน ดูสิทำไมเราอดนอนผ่อนอาหารกันได้ ความอดนอนผ่อนอาหารนี่เห็นไหม นี่ร่างกาย สังขารที่เป็นร่างกาย สังขารที่เป็นความคิดมันไม่ทับไง ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ไม่มีกำลัง ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันไม่เข้มแข็ง ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันไม่มีกำลัง เพราะว่าเราไปปรนเปรอมันจนมันมีกำลังแก่กล้ามันก็เหยียบย่ำเรา แต่เวลาเราผ่อนมันๆ เห็นไหม แล้วปัญญามันไล่ต้อนเข้าไป มันเห็นหมดแหละ
ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เราต้องอาศัยนะ ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา แต่มันดำรงชีวิตไง จิตนี้อยู่ในคูหาของใจ นี่คูหาของใจ แล้วใจนี้มันมีร่างกายเป็นที่อาศัย นี่สิ่งนี้เราต้องรักษา สิ่งนี้เราต้องดูแล แต่มันไม่ใช่ของเรา คำว่าไม่ใช่ของเรา คือธรรมชาติมันต้องพลัดพราก มันต้องตายไป แต่ถ้าเรามีปัญญาของเรา เราใคร่ครวญของเรา
นี่ดูสิดูทางวิทยาศาสตร์ เห็นไหม นี่ตั้งแต่เกิดมา ตั้งแต่ชราภาพไป มันชราคร่ำคร่าไปเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรยับยั้งได้เลย แต่มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมดา แต่ถ้ามันมีปัญญาเข้าไปเห็น มันเห็นเป็นปัจจุบัน มันตื่นเต้นกว่านี้นะ ขณะที่เห็นปัจจุบันมันแปรสภาพในเดี๋ยวนั้นๆ แล้วมันไม่มีสิ่งใดจะยึดได้เลย จิตนี้มันคลายออกมา มันเป็นอิสรภาพของมัน เห็นไหม กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ ต่างอันต่างจริง อยู่ด้วยกันนี่ต่างอันต่างจริง
แต่ปัจจุบันนี้อยู่ด้วยกันมันมีสังโยชน์ร้อยรัดไว้ มันเป็นความยึดมั่นถือมั่น มันเป็นการวิตกกังวล มันเป็นศรเสียบอกไว้ มันไม่ต่างอันต่างจริงหรอก มันเป็นภาระ มันเป็นการแบกรับ ทั้งๆ ที่มันต้องพลัดพรากเป็นธรรมดา รู้ๆ อยู่ ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมดานี่แหละ แต่ใจมันไม่ธรรมดา เพราะอะไร? เพราะมันไม่ยังไม่ได้ถอนศรในหัวใจ แต่ในปัญญาใคร่ครวญขึ้นมา พอมันถอนศรในหัวใจขึ้นมาแล้วมันเป็นธรรมดาจริงๆ พอเป็นธรรมดาจริงๆ มันไม่มีอะไรยึดมั่นถือมั่นนะ มันปล่อยวางจริง
นี่ถ้ามันเห็นสภาวะแบบนั้น สมบัติข้างนอกมันจะมีประโยชน์ไหม? การเอาชนะคะคานกันมันจะมีประโยชน์ไหม? เอาชนะคะคานกันมันเป็นสร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้นนะ มันก่อเวรก่อกรรมทั้งนั้นแหละ นี่สิ่งต่างๆ เห็นไหม ดูสิอาหารที่ใส่เข้าไปในท้อง ถ้าเป็นสารพิษมันกินเข้าไปแล้วเราก็เจ็บไข้ได้ป่วย ทั้งๆ ที่เรากินเองนี่แหละ แต่กินเข้าไปตกในกระเพาะอาหารนี่ทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ถ้าอาหารที่มันเป็นคุณประโยชน์มันจะหล่อเลี้ยงร่างกายให้แข็งแรงขึ้นมา
นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราเห็นจริง เราถอนออกมาแล้วร่างกายก็เป็นของเรา สรรพสิ่งก็เป็นของเรา แต่มันต่างอันต่างจริง จริงจริงๆ จริงตามธรรมของเรา แต่ขณะปัจจุบันนี้มันจริงตามธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเลยไม่เป็นความจริงของเรา มันเป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราศึกษามา มันเป็นสัญญา สัญญาก็เป็นวิธีการ เป็นเครื่องดำเนิน เป็นวิชาการที่เราจะเอามาศึกษา วิเคราะห์วิจัยให้เป็นความจริงของเรา
ถ้าเป็นความจริงของเรา นี่มันประเสริฐที่นี่ไง พระประเสริฐที่นี่ นี่ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อย คนเลวนะมันก็เป็นธรรมชาติของคนเลว ต่างๆ สังคมเขาก็รู้ว่าคนเลว แต่ถ้าพระเลวนะมันสะเทือนหมดเลย เพราะพระนี่เป็นผู้ที่เสียสละโลกมา แล้วทำตัวเลว เห็นไหม นี่มันสะเทือนหัวใจของพระเองด้วย สะเทือนหัวใจของสังคมด้วย สะเทือนทุกอย่างเลย แต่ถ้าเราสร้างพระความจริงขึ้นมาในหัวใจของเรา มันเป็นความจริงของเรา มันมีความสุขของเรา มันมีความอบอุ่นของเรา มันจะประเสริฐของเรา เห็นไหม
พระดีพระเลวอยู่ที่ใจนะ ใจถ้ามันดีซะอย่างเดียว อย่างอื่นข้างนอกมันเป็นเครื่องอาศัย เป็นของชั่วคราว รอเวลาที่เราจะพลัดพรากจากกันตามความเป็นจริง ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แต่ถ้าเราจะไม่ทำถึงที่สุดเราจะต้องไปเกิดอีก จะต้องไปทุกข์ไปยากกับชีวิตอีก เห็นไหม แต่ถ้าชีวิตนี้มันมีการพลัดพรากเป็นที่สุด แต่เราได้ถอนศรคือกิเลสในหัวใจออกเสียแล้ว นี่ชีวิตนี้จบสิ้นกันไป แล้วมันจะก็เป็นความสุขจริงๆ เป็นพระผู้ประเสริฐ พระจริงๆ ในหัวใจของเรา เอวัง